ปี 2559 ถือเป็นปีสําคัญที่พสกนิกรชาวไทยจะต้องจดจําตลอดไป
เนื่องจากเป็นปีที่เราสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่จากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา-ภูมิพลอดุลยเดช
ซึ่งนําความเศร้าโศกแก่พวกเราทุกคน ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระองค์ท่าน
ชาวไทยทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะสืบสานพระราชปณิธาน โดยเฉพาะการน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้
ซึ่งเน้นความพอประมาณ เน้นผลตอบแทนในระยะยาวมากกว่าเพียงการสร้างผลกําไรในระยะสั้น
เครือเจริญโภคภัณฑ์เชื่อด้วยว่าการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณในพระองค์ท่านที่ดีที่สุดก็คือ
การน้อมนําคําสอนและหลักปรัชญาในการทรงงานมาปลูกฝังแก่ผู้นําธุรกิจทุกรุ่นสืบไป
หากย้อนกลับไปดูประวัติการดําเนินธุรกิจอันยาวนานของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ผมภูมิใจอย่างยิ่งที่เครือฯ
ได้นําคําสอนในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาเป็นส่วนสําคัญของยุทธศาสตร์ของเครือฯ
และได้เห็นเครือฯ เจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าปัจจุบันเราได้ขยายกิจการไปทั่วโลก
แต่จิตวิญญาณของเราก็ยังเป็นไทยและยังสํานึกในบุญคุณของแผ่นดินไทยเสมอมา
เครือเจริญโภคภัณฑ์เริ่มจากกิจการจําหน่ายเมล็ดพันธุ์พืชเล็กๆ เมื่อปี 2464 จนสามารถเติบใหญ่เป็น 8 สายธุรกิจ
และขยายกิจการไปยัง 20 ประเทศ ใน 6 ทวีปทั่วโลก เมื่อครั้งที่คุณพ่อของผมได้เริ่มกิจการ
ท่านได้วางรากฐานของการดําเนินธุรกิจด้วยหลักปรัชญา "3 ประโยชน์" กล่าวคือ
ก่อนอื่นควรคํานึงถึงการทําประโยชน์แก่ประเทศที่เข้าไปดําเนินธุรกิจ
ประโยชน์ต่อประชาชนในทุกประเทศที่เข้าไปลงทุน และสุดท้ายจึงเป็นประโยชน์ต่อองค์กรรวมถึงบุคลากรขององค์กรด้วย
หลักการนี้เองเป็นสิ่งที่สามารถอธิบายตัวตนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้อย่างชัดเจนที่สุด และหลักปรัชญา "3
ประโยชน์" เน้นการสร้างคุณค่าร่วมกันซึ่งเป็นความหมายของคําว่าความยั่งยืนที่เครือฯ
ยึดเป็นหลักสําคัญของการดําเนินธุรกิจมาตั้งแต่ต้น
เครือเจริญโภคภัณฑ์ตระหนักดีว่าโลกปัจจุบันกําลังเผชิญความท้าทายนานัปการ
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศความมั่นคงทางด้านอาหาร หรือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
ซึ่งความท้าทายเหล่านี้อาจสร้างผลกระทบต่อลูกค้าพนักงานและสังคมโดยรวม แต่การเผชิญหน้ากับความท้าทายเหล่านี้
เราจะต้องร่วมกันสร้างทักษะและสร้างค่านิยมแก่ผู้นํารุ่นใหม่ ดังนั้น เครือฯ
ได้ก่อตั้งสถาบันผู้นําเครือเจริญโภคภัณฑ์โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผู้นําและผู้บริหารรุ่นใหม่ปีละ 20,000
คนซึ่งนอกเหนือจากจะได้เรียนรู้หลักการในการเป็นผู้นําที่ดีแล้วบุคลากรเหล่านี้ยังจะได้รับการปลูกฝังความเป็นผู้นําที่รับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย
ผมขอถือโอกาสนี้แจ้งข้อมูลที่สําคัญอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับการบริหารงานของเครือเจริญโภคภัณฑ์ เมื่อต้นปี 2560
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ปรับโครงสร้างผู้บริหารระดับสูงของเครือฯ โดยผมดํารงตําแหน่งประธานอาวุโส (Senior
Chairman) คุณสุภกิตเจียรวนนท์ ดํารงตําแหน่งประธานกรรมการ (Chairman) และคุณศุภชัย เจียรวนนท์
ดํารงตําแหน่งประธานคณะผู้บริหาร (CEO) ผมจะยังคงมีบทบาทสําคัญด้านการควบคุมเชิงกลยุทธ์ และทิศทางด้านธุรกิจ
ส่วนคุณสุภกิต และคุณศุภชัยจะร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นสําคัญของเครือเจริญโภคภัณฑ์มากยิ่งขึ้น และคุณสุภกิต
ในฐานะประธานกรรมการจะเน้นไปที่โครงการใหม่ ๆ และการลงทุนในขณะที่คุณศุภชัย
ซึ่งมีตําแหน่งประธานคณะผู้บริหารจะรับผิดชอบดูแลการบริหารงานของเครือเจริญโภคภัณฑ์
ตลอดจนการนํายุทธศาสตร์ใหม่ๆ รวมทั้งยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนมาสู่การปฏิบัติ
รายงานความยั่งยืนฉบับนี้ถือเป็นฉบับแรกที่รวบรวมข้อมูลจากทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ และเครือฯ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นช่องทางในการถ่ายทอดเรื่องราวด้านความยั่งยืนของเครือฯ
ให้ผู้มีส่วนได้เสียได้รับทราบ ช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกลุ่มธุรกิจด้วยกันเอง ตลอดจนแสดงให้เห็นบทบาท
และความมุ่งมั่นของเครือฯ ในการร่วมแก้ไขปัญหาท้าทายด้านความยั่งยืนระดับโลก
ผมเชื่อเสมอว่า
ภาคเอกชนสามารถร่วมเป็นพลังสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีได้แต่จําเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนที่ดีจากผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
และไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนหรือฝ่ายที่เห็นต่างล้วนแล้วแต่มีบทบาทสําคัญในการช่วยให้เครือเจริญโภคภัณฑ์มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงและยั่งยืนสุดท้ายนี้
ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนได้เสียของเครือเจริญโภคภัณฑ์ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ลูกค้า คู่ค้าธุรกิจ ผู้ถือหุ้น
พันธมิตรทางธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม ที่สนับสนุนเครือเจริญโภคภัณฑ์ด้วยดีเสมอมา
เครือเจริญโภคภัณฑ์
เติบโตอย่างยั่งยืนมากว่า 97 ปี โดยยึดหลัก "ปรัชญา 3 ประโยชน์" ในการดําเนินธุรกิจเสมอมา "ปรัชญา 3 ประโยชน์"
พัฒนาขึ้นจากแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง คือ "การคิดถึงผู้อื่นก่อน"
ดังนั้นการดําเนินธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในทุกประเทศ
เราจะคํานึงถึงประโยชน์ต่อประเทศที่เข้าไปลงทุนเป็นลําดับแรก
ตามด้วยประโยชน์ต่อประชาชนในทุกประเทศที่เข้าไปลงทุน
และสุดท้ายจึงเป็นประโยชน์ต่อองค์กรซึ่งรวมถึงพนักงานและผู้ถือหุ้น
ธุรกิจที่จะยั่งยืนต้องมีความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก
เครือเจริญโภคภัณฑ์ตระหนักดีว่าเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
ตั้งแต่ยุค 1.0 ที่เน้นเรื่องการเกษตรยุค 2.0 เน้นเรื่องอุตสาหกรรมเบา ยุค 3.0
เน้นเรื่องอุตสาหกรรมหนักและการส่งออก จนปัจจุบันยุค 4.0 เป็นยุคการเชื่อมโยงข้อมูลกับเทคโนโลยี
เครือเจริญโภคภัณฑ์เองก็มีการปรับเปลี่ยนองค์กรให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกเช่นกัน
และมีการดําเนินโครงการต่าง ๆ
เพื่อช่วยส่งเสริมสังคมไทยและสังคมโลกให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน
โดยยุทธศาสตร์ของเครือฯ จะมุ่งการพัฒนา 4 ด้าน ได้แก่
1. การปรับเปลี่ยนข้อมูลในการดําเนินงานขององค์กรให้เป็นดิจิทัลโดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งในกระบวนการผลิต
ระบบบริหารการตลาด จนถึงการบริการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
2. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรม ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ ลงทุนเอง หรือ ลงทุนผ่านกองทุน
(Venture Capital)
3. การพัฒนาบุคลากร ให้มีความสามารถ พัฒนาผู้นํารุ่นใหม่
สร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพ
4. การสร้างค่านิยมหลักในองค์กร ให้คํานึงถึงการสร้างการเติบโตทางธุรกิจโดยคํานึงถึงความยั่งยืน ทําให้ประเทศ
สังคม และ องค์กร
เพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน ในปี 2559 เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ประกาศเป้าหมายด้านความยั่งยืนในปี 2020
(พ.ศ. 2563) ซึ่งพัฒนาจาก 12 ประเด็นที่มีความสําคัญสําหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทและผู้มีส่วนได้เสีย
นอกจากเป้าหมายแล้วทั้ง 12 ประเด็นยังมีการกําหนดเป้าประสงค์ ตัวชี้วัดสําหรับการตรวจสอบกรอบการดําเนินงาน
และแผนการดําเนินงานทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว โดยทั้งเป้าหมายและเป้าประสงค์ที่ทางเครือฯได้กําหนดไว้
ล้วนแล้วแต่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) และทางเครือฯ
มุ่งมั่นที่จะรายงานความคืบหน้าในการดําเนินงานตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเครือฯและตามข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ
(UN Global Compact) ที่เครือฯ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างความมุ่งมั่นในการดําเนินงานตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเครือฯ ที่สําคัญ
และตอบสนองยุทธศาสตร์ของเครือฯในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่
ความมุ่งมั่นในการทําธุรกิจด้วยใจที่ยั่งยืน
เพื่อเสริมความเข้มแข็งในระบบบรรษัทภิบาล ในปี 2559 เครือฯ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการด้านบรรษัทภิบาลซึ่ง
ประกอบด้วยคณะกรรมการ 18 ท่าน ซึ่งเป็นผู้บริหารภายในเครือฯ
กรรมการอิสระและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการกํากับดูแลกิจการจากภายนอก มีการประกาศหลักการบรรษัทภิบาลของเครือฯ
มีการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมสําหรับผู้บริหารและพนักงาน
และเพื่อสร้างความผูกพันกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างครอบคลุม เครือฯ
ได้เข้าร่วมเป็นภาคีในข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ โดยมีเจตนารมณ์ในการมีส่วนร่วมปฏิบัติตามหลักสากล 10 ประการ
นอกจากนี้ เครือฯยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กประเทศไทย
เป็นผู้นําในการระดมภาคธุรกิจของไทยร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ประการ
และเป็นภาคีสมาชิกองค์กรระดับสากลอื่นๆอาทิ World Business Council for Sustainable Development
(WBCSD)
ความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน
เครือฯ มุ่งมั่นส่งเสริมความรู้
พัฒนาความสามารถและศักยภาพด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมจัดการด้านการศึกษาสําหรับเด็กไทยทุกช่วงวัยและส่งเสริมการเข้าถึงความรู้แก่คนในสังคม
โดยมีแนวทางการบริหารจัดการผ่าน 3 แนวทาง คือ การพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะ
การสร้างความพร้อมเข้าสู่ยุคดิจิทัลและการสร้างโอกาสการเข้าถึงองค์ความรู้
โดยบูรณาการร่วมกันเป็นเครือข่ายที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต จนถึงปี 2559
เครือฯได้ส่งเสริมและสนับสนุนโอกาสการเข้าถึงการศึกษา และพัฒนาทักษะที่จําเป็นแก่ เด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่
เป็นจํานวนกว่า 2,000,000 คน นอกจากนี้เครือฯ ยังให้ความสําคัญกับการมีส่วนร่วมในการจัดการประเด็นทางสังคม
และสร้างคุณค่าร่วมผ่านการส่งเสริมอาชีพและรายได้กับเกษตรกรผู้ประกอบการรายย่อย และกลุ่มเปราะบางรวมกว่า
46,560 ราย
ความมุ่งมั่นเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
เครือฯ มุ่งมั่นในการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอดห่วงโซ่คุณค่า
โดยคํานึงถึงการบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกขั้นตอนการทํางาน
ส่งเสริมการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมีส่วนร่วมอย่างรับผิดชอบกับคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน
ตลอดจนถึงผู้มีส่วนได้เสียในภาคส่วนอื่น ๆ โดยในปี 2559 เครือฯ ได้แสดงเจตจํานงเข้าร่วมโครงการ "Caring for
Climate" ร่วมกับองค์การสหประชาชาติ เพื่อสื่อสารแนวทางการจัดการให้ได้รับรู้ทั้งภายในและภายนอกเครือฯ
นอกจากนี้ในด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างรับผิดชอบ เครือฯ ได้ดําเนิน
"โครงการตรวจสอบย้อนกลับในเรื่องอาหาร" ภายใต้ระบบ "iTrace" โดยปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์อาหารและวัตถุดิบของเครือฯ
กว่า 30 กลุ่มได้พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ อาทิ ข้าว กล้วยหอม ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปลาป่น
ตัวอย่างที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์
เราทุกคนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยการดําเนินงานของเราที่มุ่งเน้นให้เกิดความยั่งยืน
กอปรกับเครือข่ายและความรู้ความสามารถที่มีอยู่
เครือเจริญโภคภัณฑ์จะเป็นแรงสําคัญในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ทั้งในธุรกิจของเราเองและในสังคมโลก
เครือเจริญโภคภัณฑ์
เครือเจริญโภคภัณฑ์จะก้าวสู่ปีที่ 100 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
การที่เราเติบโตมาได้ยาวนานเช่นนี้เป็นเพราะการทําธุรกิจอย่างยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่น
ซึ่งรากฐานความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์นั้นก่อกําเนิดขึ้นจาก "ปรัชญา 3 ประโยชน์" กล่าวคือ
การดําเนินธุรกิจนั้นจะต้องก่อให้เกิดประโยชน์ 3 ประการ ได้แก่ประโยชน์ต่อประเทศชาติที่เข้าไปลงทุน
ประโยชน์ต่อประชาชนในทุกประเทศที่เข้าไปลงทุน และสุดท้ายจึงเป็นประโยชน์ต่อองค์กร
ซึ่งรวมถึงพนักงานและผู้ถือหุ้นดังนั้นธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์จึงเติบโตก้าวหน้าไปพร้อมกับการสร้างสรรค์เศรษฐกิจ
สังคม สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยและทุกประเทศที่เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปลงทุน
ในโลกปัจจุบันการดําเนินธุรกิจพบกับความท้าทายที่เกิดขึ้นทั่วโลกในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม
และสิ่งแวดล้อม
ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องการจัดหาและการใช้ทรัพยากรที่มีจํากัดอย่างยั่งยืนการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
การเข้าสู่ยุคสังคมสูงวัยภาวะขาดแคลนแรงงาน พัฒนาการที่รวดเร็วของเทคโนโลยีและการเติบโตของสังคมเมือง
ซึ่งล้วนสร้างแรงกดดันและความคาดหวังต่อการดําเนินธุรกิจของภาคเอกชน
เครือเจริญโภคภัณฑ์จึงมุ่งมั่นและตอกย้ํานโยบายการทําธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีการประกาศ
"หลักการความยั่งยืนเครือเจริญโภคภัณฑ์" ไปเมื่อต้นปีพ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา เพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง
ยั่งยืน และลดผลกระทบดังกล่าวให้แก่กลุ่มธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์ทั้งหมด เราจะมุ่งเน้นการสร้าง 3
เสาหลักสําคัญให้ดี คือ บุคลากรที่ดี ระบบที่ดี และการเงินการลงทุนที่ดี
การมีบุคลากรที่ดีถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสําคัญมากที่สุด
เครือเจริญโภคภัณฑ์มีความตั้งใจในการสร้างผู้นํารุ่นใหม่ผ่านสถาบันผู้นําเครือเจริญโภคภัณฑ์
ให้เป็นผู้นําที่เก่งและดี มีค่านิยมประจําใจ 6 ประการ ได้แก่ 1. 3 ประโยชน์ 2. ทําเร็วและมีคุณภาพ 3.
ทําเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย 4. ยอมรับการเปลี่ยนแปลง 5. สร้างสรรค์สิ่งใหม่ 6. ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม
อีกทั้งเป็นคนที่สร้างความสามัคคี มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้เพื่อนําองค์กรไปสู่การเติบโตในทุกมิติโดยใช้ระบบการฝึกอบรมที่ดี
การลงทุนในระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดของโลก ไม่ว่าจะเป็นระบบอัตโนมัติ (Automation), หุ่นยนต์ (Robotics),
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI), เทคโนโลยีเเละระบบประมวลผลเเบบคลาวด์ (Cloud Technology &
Analytics), ห้องปฏิบัติการอัจฉริยะ
ทําให้เราสามารถทราบข้อมูลจากทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วขึ้นคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
สร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่สูงขึ้นตลอดจนลดความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยในการทํางานของพนักงาน
ทําให้เราสามารถตัดสินใจทางธุรกิจและผลกระทบต่าง ๆ ที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสียได้ดีขึ้นและทันท่วงที
นอกจากนั้นการเงินและการลงทุนที่ดีเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ ๆ สร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มธุรกิจภายในเครือฯ
และพันธมิตรทั่วโลกทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศอย่างยั่งยืน
จะเป็นการสร้างเสียงสะท้อนและจิตสํานึกในการพัฒนาแนวทางแก้ไขประเด็นท้าทายทางสังคมและสิ่งแวดล้อมให้กับสังคมโลกอีกด้วย
ปัจจุบัน เครือเจริญโภคภัณฑ์มีฐานการลงทุนใน 20 ประเทศมีบุคลากรกว่า 300,000 คนทั่วโลก
เราส่งมอบสินค้าและบริการไปยังผู้บริโภคใน 6 ทวีป กว่า 140 ประเทศทั่วโลก
ผมตระหนักดีถึงความไว้วางใจและความรับผิดชอบที่ได้รับในฐานะประธานกรรมการ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด
เพื่อสานต่อเจตนารมณ์และวิสัยทัศน์ในการดําเนินธุรกิจที่ได้สร้างความเข้มแข็งให้เครือเจริญโภคภัณฑ์มาจนถึงทุกวันนี้
และเพื่อนําเครือฯ ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่สองของการทําธุรกิจบนพื้นฐานที่ส่งเสริมความยั่งยืน
ผมเชื่อมั่นว่าแผนงานที่มุ่งมั่นจริงจังสู่ความยั่งยืนของเรา
ไม่เพียงจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีด้านความยั่งยืนให้กับเครือเจริญโภคภัณฑ์เท่านั้น
แต่จะยังคงก่อให้เกิดความยั่งยืนในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
แก่ประเทศไทยและทุกประเทศที่เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปลงทุนด้วย
เพราะเราตระหนักดีว่าความร่วมมือของทุกภาคส่วนในสังคมเป็นสิ่งสําคัญที่จะขับเคลื่อนความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสรรค์ความมั่นคงยั่งยืนให้กับประเทศและโลกของเราสืบไป